วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Raster Map vs Vector Map

Raster Map vs Vector Map
แผนที่ดิจิตอลในปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ Raster และ Vector แผนที่กระดาษที่เราสแกนเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์เรียกว่า Raster Map ส่วน Vector Map จะเป็นแผนที่ที่ถูกใช้ใน GPS
องค์ประกอบของ Raster Map ไม่มีอะไรเลยนอกจากพิกเซลที่เรียงประกอบกันเป็นภาพแผนที่ คอมพิวเตอร์ของเรารู้จัก Raster Map ก็เพียงจุดสีที่ประกอบกันเป็นภาพเท่านั้น ไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าถนนหนทางในภาพอยู่ตรงไหน หน้าตาเป็นอย่างไร
ในการสร้าง Vector Map นั้น คอมพิวเตอร์จะยังเห็นภาพแผนที่เป็นตารางพิกเซล โดยกำหนดให้จุด Origin (x = 0, y = 0) ของตาราง (จุดแรกสุดของพิกเซล) อยู่ที่มุมซ้ายบนของภาพแผนที่ เราต้องเข้าไปจิ้มจุด 1, 2, … ,9 เพื่อบอกคอมพิวเตอร์ว่าพิกเซลที่เราจิ้มลงไปนั้นมีพิกัดเท่าใด เมื่อเราจิ้มบอกพิกัดได้สองจุดขึ้นไปแล้ว คอมพิวเตอร์จะสามารถคำนวนพิกัดของพิกเซลอื่นได้โดยอัตโนมัติ
Vector Map ใช้จุดและเส้นตรงในการโยงจุดเพื่อแสดงภาพแผนที่ โดยฝังข้อมูลของพิกัดเข้าไปในจุดแต่ละจุด พร้อมคำสั่งในการลำดับการโยงจุด เพื่อสื่อถึงองค์ประกอบทุกตัว (Map Objects) ที่รวมกันเป็นภาพแผนที่ เนื่องจากเราสามารถฝังป้ายชื่อ (Label) เข้าไปในทุก Object ของ Vector Map ได้ เราจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งจุดสีในแต่ละพิกเซลในการแสดงชื่อดังเช่นใน Raster Map ทำให้การขยายหรือย่อขนาด Vector Map ทำได้โดยไร้ขีดจำกัด ที่สำคัญคือภาพไม่แตก ไม่เหมือนกับการขยายภาพตามปกติ ที่เมื่อขยายจนถึงจุดๆหนึ่งแล้ว ภาพจะแตกหยาบ จนดูไม่ออกว่าเป็นภาพอะไร



<<Raster Map



<< Vector Map


ในภาพเป็นการเปรียบเทียบ Raster กับ Vector Map … Vector Map ใช้จุดเพียงเจ็ดร้อยกว่าจุดเท่านั้นในการแสดงถนนหนทางของพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ทั้งหมด ในขณะที่ Raster Map ขนาดย่อดังในรูปยังแทบใช้ประโยชน์ในการนำทางไม่ได้เลย
เจ็ดร้อยกว่าจุดที่ว่านี้เอง ก็คือฉากหลังทั้งหมดของแผนที่เกาะรัตนโกสินทร์ ที่พร้อมใช้ในเครื่องจีพีเอสและเครื่องเนวิเกเตอร์ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า Vector Map ที่มีข้อมูลเพียงจุดพิกัด ข้อมูลในการโยงจุด และข้อมูลในการ Label ใช้ทรัพยากรของเครื่องจีพีเอสน้อยกว่ามาก ไฟล์แผนที่ที่เป็น Raster จะใหญ่กว่า Vector บางทีอาจใหญ่กว่า 50-200 เท่าขึ้นไปทีเดียว
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่า ระบบนำทางรถยนต์ หรือเนวิเกเตอร์ ก็คือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี GPS ในรูปแบบหนึ่ง เป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างเทคโนโลยี GPS กับเทคโนโลยีแผนที่ หมายความว่าระบบจะฉลาดมากหรือน้อยนั้น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับแผนที่ว่ามีความละเอียดและความถูกต้องในการกำหนดค่าพิกัดของจุดต่างๆบนแผนที่ เช่น ถนน, อาคาร, ทางแยก ฯลฯ มากน้อยเพียงไร
ใช้ได้จริงหรือ???
เนื่องจากระบบเนวิเกชั่นจะใช้ข้อมูล 2 ส่วนร่วมในการประมวลผล ข้อมูลแผนที่ประเทศไทยแบบดิจิตอลจะถูกเก็บไว้ในแบล็คบ็อกซ์ ส่วนข้อมูลจีพีเอสจะรับมาจากดาวเทียมแบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นการสื่อสารแบบไร้สายระหว่างแบล็คบ็อกซ์กับดาวเทียมที่ส่งสัญญาณมาจากอวกาศ ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศไทย แม้แต่ในพื้นที่ทุรกันดาร การประมวลผลจะเกิดขึ้นภายในแบล็คบ็อกซึ่งถูกติดตั้งไว้ในรถทุกคันแบบ 1 : 1 และแสดงผลไปยังจอภาพซึ่งก็อยู่ภายในรถแต่ละคันนั่นเอง

จะเห็นว่าการสื่อสารจะเกิดขึ้นระหว่างแบล็คบ็อกซ์กับดาวเทียมเท่านั้น ไม่มีการสื่อสารทางภาคพื้นดิน หรือการสื่อสารระหว่างรถยนต์แต่ละคัน
หรือการสื่อสารระหว่างรถกับศูนย์รับสัญญาณดาวเทียมแต่อย่างใดทำให้ไม่มีความจำเป็นสำหรับเครือข่ายภาคพื้นดินเหมือนอย่างโทรศัพท์
มือถือดาวเทียมมีใช้งานมานานแล้ว แบล็คบ็อกซ์มีแล้ว ข้อมูลแผนที่ก็มีแล้ว นั่นหมายความว่าระบบนำทางรถยนต์ หรือระบบเนวิเกชั่น นั้น สามารถนำมาใช้งานจริงได้แน่นอน



วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Gis A computerized ระบบจัดการฐ้านข้อมมูล

"GIS  A computerized database management System for capture ,storage retrieval, analysis and display of spatial(locationally defined) data" (NCGIA: National Center Geographic Information and Analysis ,1989)

แปล
"ระบบสารสนเทศการจัดการฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์สำหรับการรวบรวม, การจัดเก็บการดึงการวิเคราะห์และการแสดงผลของข้อมูล (ตามที่กำหนด  พื้นที่)"(NCGIA : ข้อมูลทางภูมิศาสตร์แห่งชาติศูนย์และการวิเคราะห์, 1989)


NCGIA :National Center for Geographic Information and Analysis













ระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System)

ระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System)

ระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System) หรือที่เรียกว่า ดีบีเอ็มเอส (DBMS) เป็นกลุ่มโปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในระบบติดต่อระหว่างผู้ใช้กับฐานข้อมูล เพื่อจัดการและควบคุมความถูกต้อง ความซ้ำซ้อน และความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่างๆ ภายในฐานข้อมูล ซึ่งต่างจากระบบแฟ้มข้อมูลที่หน้าที่เหล่านี้จะเป็นหน้าที่ของโปรแกรมเมอร์ ในการติดต่อกับข้อมูลในฐานข้อมูลไม่ว่าจะด้วยการใช้คำสั่งในกลุ่มดีเอ็มแอล (DML) หรือ ดีดีแอล (DDL) หรือจะด้วยโปรแกรมต่างๆ ทุกคำสั่งที่ใช้กระทำกับข้อมูลจะถูกดีบีเอ็มเอสนำมาแปล (คอมไพล์) เป็นการปฏิบัติการ (Operation) ต่างๆ ภายใต้คำสั่งนั้นๆ เพื่อนำไปกระทำกับตัวข้อมูลภายในฐานข้อมูลต่อไป สำหรับส่วนการทำงานตางๆ ภายในดีบีเอ็มเอสที่ทำหน้าที่แปลคำสั่งไปเป็นการปฏิบัติการต่างๆ กับข้อมูลนั้น ประกอบด้วยส่วนการปฏิบัติการดังนี้

หน้าที่ของระบบจัดการฐานข้อมูล

  • แปลงคำสั่งที่ใช้จัดการกับข้อมูลภายในฐานข้อมูล ให้อยู่ในรูปแบบที่ฐานข้อมูลเข้าใจ
  • นำคำสั่งต่าง ๆ ซึ่งได้รับการแปลแล้ว ไปสั่งให้ฐานข้อมูลทำงาน เช่น การเรียกใช้ (Retrieve) จัดเก็บ (Update) ลบ (Delete) เพิ่มข้อมูล (Add) เป็นต้น
  • ป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับข้อมูลภายในฐานข้อมูล โดยจะคอยตรวจสอบว่าคำสั่งใดที่สามารถทำงานได้ และคำสั่งใดที่ไม่สามารถทำงานได้
  • รักษาความสัมพันธ์ของข้อมูลภายในฐานข้อมูลให้มีความถูกต้องอยู่เสมอ
  • เก็บรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลภายในฐานข้อมูลไว้ในพจนานุกรมข้อมูล (Data Dictionary) ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้มักจะถูกเรียกว่า เมทาดาตา (MetaData) ซึ่งหมายถึง "ข้อมูลของข้อมูล"
  • ควบคุมให้ฐานข้อมูลทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
  • ควบคุมสถานะภาพของคอมพิวเตอร์ในการแปลสถาพฐานข้อมูล ส.ท


Data security

  • คือการป้องกันไม่ให้ข้อมูลหายหรือ นำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง
  • ข้อมูลควรให้รู้เฉพาะผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
  • ต้องมีขั้นตอนการทำงานและ ยอมให้ผู้ที่มีหน้าที่เท่านั้นที่จะดูข้อมูลจาก ฐานข้อมูลได้
  • การ Back Up ข้อมูล เมื่อข้อมูลเสียหายจะได้มีข้อมูลใหม่ อาจทำได้โดย
  1. * ลง Tape หรือ แผ่น ดีสเก็ต
  2. * back up ทุกวัน, ทุกอาทิตย์ ฯลฯ
  3. * เก็บ tape หรือ แผ่น ดีสเก็ต ที่ back up ไว้คนละที่กับของจริง

การบำรุงรักษาข้อมูล (Data Maintenance)

  • Updating คือ การเปลี่ยนแปลงข้อมูล มีขั้นตอนดังนี้
  • Adding เพิ่มข้อมูลใหม่ สร้าง record สำหรับคนใหม่ในฐานข้อมูล
  • Changing เปลี่ยนข้อมูล เช่น มีการย้ายที่อยู่
  • Deleting ลบข้อมูลที่ไม่ต้องการออก


    ทำไมถึงต้องมีฐานข้อมูล

ในระบบแฟ้มเอกสาร(file oriented system) มีแฟ้มข้อมูลอยู่ 2 แฟ้ม คือ Customer File และ Catalog File
  • แต่ละแฟ้มมี Field name และ Address ที่เหมือนกันทำให้เกิดการซ้ำซ้อนในการจัดเก็บข้อมูล
  • ถ้ามี File เป็นจำนวนมาก โอกาสที่แฟ้มข้อมูลจะเก็บข้อมูลเหมือนกันก็มีมาก ทำให้เปลืองเนื้อที่ และแก้ไขข้อมูลได้ยาก
ในระบบ Database System มี 2 แฟ้มข้อมูลเหมือนกัน
  • แฟ้มที่มี Name และ Address มีอยู่เพียงแฟ้มเดียว จึงป้องกันการเก็บข้อมูลที่ซ้ำกัน
  • เวลาต้องการ Name และ Address ก็ใช้Customer Number อ้างอิงถึง แล้วไปเรียกจาก Customer File ที่เก็บอยู่ได้
Database Management System ระบบการบริหารข้อมูลมีลักษณะประกอบไปด้วยส่วนต่างๆ สรุปได้ดังนี้
  1. Data Dictionary ใช้กำหนดขอบเขตของข้อมูล (data field) ที่ใช้ในฐานข้อมูล และอธิบายความสัมพันธ์กับข้อมูลอื่นๆ ได้แก่
    • field name (ชื่อเขตข้อมูล)
    • size (ขนาด)
    • type of data (ชนิดของข้อมูล)
      • Text (ข้อความ)
      • Numeric (ตัวเลข)
      • Date (วันที่)
  2. Utilities คือโปรแกรมอรรถประโยชน์ช่วยในการจัดการฐานข้อมูล เช่น
    • สร้างแฟ้มข้อมูล
    • สร้าง Data Dictionary
    • ลอกข้อมูล
    • เปลี่ยนแปลงข้อมูล
    • ลบข้อมูล
  3. Security คือการรักษาความปลอดภัยของฐานข้อมูล ระบบทั่วๆไปจะให้ผู้ใช้สามารถกำหนดระดับความสำคัญของการเรียกใช้ข้อมูลได้โดย
    • ดูข้อมูลได้ทั้งหมด
    • ดูข้อมูลได้บางอย่าง
    • ดูข้อมูลไม่ได้เลย
    • ใครมีหน้าที่แก้ไขข้อมูลได้บ้าง

    ตัวอย่าง

    แฟ้มที่เก็บข้อมูลเงินเดือน อาจจะมีคนพยายามเปลี่ยนตัวเลข เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทุกครั้งต้องบันทึกว่า ใครเป็นคนเปลี่ยนแปลง เปลี่ยน record ไหน และเปลี่ยนจากอะไรเป็นอะไร Securityรวมถึงการ back up ข้อมูลด้วย เราควรเก็บ back up ไว้คนละที่กับแฟ้มข้อมูลจริง ในบางประเทศมีกฏหมายลงโทษเกี่ยวกับการลบแฟ้มข้อมูล หรือเปลี่ยนแปลงแฟ้มข้อมูลคนอื่น
  4. Query Language ผู้ใช้สามารถใช้ภาษาง่ายๆในการดูข้อมูลที่เก็บไว้ในฐานข้อมูลทางจอภาพหรือทางเครื่องพิมพ์
    ประเภทของข้อมูลมีดังนี้
    1. Character, Text
    2. ตัวเลข
      • Integer
      • Real, Float (เลขทศนิยม)
    3. ข้อมูลพิเศษ
      • Date วันที่
      • Time เวลา
      • Picture รูปภาพ
    ตัวอย่างจอภาพสำหรับบันทึกข้อมูล


    สมมุติว่าแฟ้มข้อมูลมี ข้อมูลดังนี้ I.D. No., Name, และ Age, Tel. No., Salary เก็บไว้ในแฟ้มข้อมูลชื่อ Salary

    การเรียงลำดับข้อมูล คำสั่ง SORT ON NAME ASCENDING (เรียงลำดับข้อมูลตามชื่อโดยเรียงจากน้อยไปมาก เช่น ก-ฮ, A-Z, 0-9)

    คำสั่ง SORT ON NAME DESCENDING (เรียงลำดับข้อมูลตามชื่อโดยเรียงจากมากไปน้อย เช่น ฮ-ก, Z-A,9-0)

    Primary Key คือ field หลักที่ใช้ในการเรียงลำดับข้อมูล 
    Secondary Key คือ field รองที่ใช้ในการเรียงลำดับข้อมูล
    คำสั่ง SORT ON AGE SECENDARY KEY NAME ASCENDING หมายถึงการเรียงลำดับข้อมูลโดยเรียงตามอายุ, ชื่อ จากน้อยไปมาก




    ขอขอบคุณ
    http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5

    http://pioneer.chula.ac.th/~vduangna/2200199/frame2.html

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วิจารณ์เพลง ให้รักเดินทางมาเจอกัน

เนื้อเพลง เพลงให้รักเดินทางมาเจอกัน – ป๊อบ ปองกูล,โบว์ลิ่ง มานิดา เพลงประกอบละคร ดวงใจอัคนี



(ป๊อบ)

ต้นเหตุของความเสียใจก็คือความจริงที่สองเราไม่พูดกัน
ไม่เคยจะมองตากันได้แต่คิดและทำอะไรไปตามต้องการโดยไม่สนใคร
(โบว์ลิ่ง)
ต้นเหตุของรอยน้ำตาไม่เคยเยียวยารักษาด้วยความเข้าใจ
มันเป็นเพราะความไม่รู้ไม่เคยดูให้ลึกลงไปข้างในหัวใจ
ได้แต่ทนเก็บไว้ผิดอะไรไม่เคยคิดถาม
(พร้อม)
เมื่อไหร่จะเข้าใจ เมื่อไหร่จะรักกัน
หากเราทั้งสองไม่ยอมเปิดใจ
ให้คำว่ารักเดินทางมาเจอกัน
เมื่อไหร่จะเข้าใจ ได้ไหมคนดี ช่วยพังทลายกำแพงที่มี
ให้ใจของเรามีวันที่ดี ที่สวยงาม
(ป๊อบ)
ถ้าหากว่าเราพูดกัน ก็คงไม่ทำให้สองเราต้องร้องไห้
(โบว์ลิ่ง)
และคงไม่เป็นเช่นนี้ คงจะมีทุกวันที่ดี ให้กันและกัน
อยากให้เป็นอย่างนั้น พอจะทำให้กันได้ไหม
(พร้อม)
เมื่อไหร่จะเข้าใจ เมื่อไหร่จะรักกัน
หากเราทั้งสองไม่ยอมเปิดใจ
ให้คำว่ารักเดินทางมาเจอกัน
เมื่อไหร่จะเข้าใจ ได้ไหมคนดี ช่วยพังทลายกำแพงที่มี
ให้ใจของเรามีวันที่ดี ที่สวยงาม
อยากจะลบลืมภาพเก่าเก่า
อยากจะทำให้เรานั้นเข้าใจกันสักครั้ง
(พร้อม)
เมื่อไหร่จะเข้าใจ เมื่อไหร่จะรักกัน
หากเราทั้งสองไม่ยอมเปิดใจ
ให้คำว่ารักเดินทางมาเจอกัน
เมื่อไหร่จะเข้าใจ ได้ไหมคนดี ช่วยพังทลายกำแพงที่มี
ให้ใจของเรามีวันที่ดี ที่สวยงาม

บทวิจารณ์
      เพลงนี้เป็นเพลงประกอบละคร4หัวใจแห่งขุนเขา ซึ่ง1เพลงนี้จะอยู๋4เวอร์ชัน แต่ละเวอร์ชันก็จะสื่อของเพลงออกไปคนละแบบยกมา1เวอร์ชัน คือเพลงที่ป็อบและโบลิ่งได้ร้อง เพลงนี้เป็นเพลงที่ชอบเพราะได้พูดถึง คู่รักที่ไม่ยอมเข้าใจกัน ไม่ยอมพูดกัน ต่างคนต่างไม่ยอมกันมันก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น เมื่อมีอะไรอยู่ในใจก็ปิดไม่ยอมที่จะแชร์ความรู้สึกสึ่งกันและกัน  เพลงนี้ได้สื่อความหมายออกมาได้อย่างชัดเจนถึงคู่รักที่ชอบทะเลาะกัน ว่าให้หันหน้าเข้ามาคุยกันแล้วหร้อมที่จะเข้าใจซึ่งกันและกัน

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ลักษณะข้อมูลเชิงพื้นที่

Spatial Distribution = การกระจายเชิงพื้นที่
เป็นการกระจัดกระจายตัวหรือการกระจุกตัวที่อยู่ในพื้นที่ จะอยู่ในลักษณะที่กระจุกตัวบางพื้นที่หรือแยกกระจายอาจจะอยู่ใกล้กันหรือไกลกันขึ้นอยู่กับบริเวณพื้นที่ต่างๆ


ยกตัวอย่าง ประชากรส่วนใหญ่ทั่วโลกจะกระจายตัวอยู่ตามเมืองใหญ่ๆ

Spatial Differentiation = ความแตกต่างเชิงพื้นที่

ในพื้นที่จะมีความแตกต่างกันในหลายๆด้าน พื้นที่แต่ละส่วนจะไม่เหมือนกันในหลายประการ อาจเป็นสิ่งแวดล้อม พื้นที่สูง-ตำของแต่ละบริเวณนั่นๆ


ยกตัวอย่าง ภาคกลางของประเทศไทยเป็นพื้นที่ราบซึ่งแตกต่างจากภาคเหนือที่มีภูเขาสลับซับซ้อน


Spatial Diffusion = การแพร่กระจายในเชิงพื้นที่
เป็นการกระจายจากพื้นที่หนึ่งไปอีกพื้นที่หนึ่ง อาจจะเป็นการอพยพย้ายถิ่นฐาน หรือมีการกระจายของสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วกระจายออกไปตามพื้นที่ต่างๆ


ยกตัวอย่าง การย้ายถิ่นฐานของประชากรจากชนบทสู่เมืองใหญ่ เพื่อการศึกษาต่อและสาธารณสุขที่ดีกว่า

Spatial Interaction = การปฏิสัมพันธ์ในเชิงพื้นที่

พื้นที่ที่ทำกิจกรรมจะสัมพันธ์กับพื้นที่อื่นและพื้นที่นั้นๆ ในแต่ละส่วนของกิจกรรมจะแยกออกตามเขตพื้นที่ของตัวเองในพื้นที่แต่ละส่วน


ยกตัวอย่าง ย่านการค้าใจกลางเมือง จะมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจอยู่มาก เช่น ห้างสรรพสินค้า โรมแรม


Spatial Temporary = ช่วงเวลาในเชิงพื้นที่
ช่วงเวลาในแต่ละพื้นที่จะแตกต่างกันออกไปในช่วงของการแบ่งเขตเวลา การกระทำหรือกิจกรรมก็จะต่างกันออกไปตามช่วงเวลาของพื้นที่ในแต่ละส่วน


ยกตัวอย่าง ประเทศไทยเป็นกลางคืน แต่อเมริกาจะเป็นตอนกลางวัน ดังนั้นการทำกิจกรรมจึงแตกต่างกัน เช่น นักศึกษาในอเมริกากำลังจะไปเรียน แต่ในไทยกำลังจะนอนหลับ



ฤษฏีทั้ง 5 นี้ มีความสัมพันธ์กันอย่างมากจะขาดทฤษฏีใดทฤษฏีหนึ่งไม่ได้

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ความหมายของคำว่า "ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ( Geographic Information System ) GIS"

ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือ Geographic Information System : GIS คือกระบวนการทำงานเกี่ยวกับข้อมูลในเชิงพื้นที่ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ที่ใช้กำหนดข้อมูลและสารสนเทศ ที่มีความสัมพันธ์กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ เช่น ที่อยู่ บ้านเลขที่ สัมพันธ์กับตำแหน่งในแผนที่ ตำแหน่ง เส้นรุ้ง เส้นแวง ข้อมูลและแผนที่ใน GIS เป็นระบบข้อมูลสารสนเทศที่อยู่ในรูปของตารางข้อมูล และฐานข้อมูลที่มีส่วนสัมพันธ์กับข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ซึ่งรูปแบบและความสัมพันธ์ของข้อมูลเชิงพื้นที่ทั้งหลาย จะสามารถนำมาวิเคราะห์ด้วย GIS และทำให้สื่อความหมายในเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่สัมพันธ์กับเวลาได้ เช่น การแพร่ขยายของโรคระบาด การเคลื่อนย้าย ถิ่นฐาน การบุกรุกทำลาย การเปลี่ยนแปลงของการใช้พื้นที่ ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้ เมื่อปรากฏบนแผนที่ทำให้สามารถแปลและสื่อความหมาย ใช้งานได้ง่าย 
      GIS เป็นระบบข้อมูลข่าวสารที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ แต่สามารถแปลความหมายเชื่อมโยงกับสภาพภูมิศาสตร์อื่นๆ สภาพท้องที่ สภาพการทำงานของระบบสัมพันธ์กับสัดส่วนระยะทางและพื้นที่จริงบนแผนที่ ข้อแตกต่างระหว่าง GIS กับ MIS นั้นสามารถพิจารณาได้จากลักษณะของข้อมูล คือ ข้อมูลที่จัดเก็บใน GIS มีลักษณะเป็นข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ที่แสดงในรูปของภาพ (graphic) แผนที่ (map) ที่เชื่อมโยงกับข้อมูลเชิงบรรยาย (Attribute Data) หรือฐานข้อมูล (Database)การเชื่อมโยงข้อมูลทั้งสองประเภทเข้าด้วยกัน จะทำให้ผู้ใช้สามารถที่จะแสดงข้อมูลทั้งสองประเภทได้พร้อมๆ กัน เช่นสามารถจะค้นหาตำแหน่งของจุดตรวจวัดควันดำ - ควันขาวได้โดยการระบุชื่อจุดตรวจ หรือในทางตรงกันข้าม สามารถที่จะสอบถามรายละเอียดของ จุดตรวจจากตำแหน่งที่เลือกขึ้นมา ซึ่งจะต่างจาก MIS ที่แสดง ภาพเพียงอย่างเดียว โดยจะขาดการเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงกับรูปภาพนั้น เช่นใน CAD (Computer Aid Design) จะเป็นภาพเพียงอย่างเดียว แต่แผนที่ใน GIS จะมีความสัมพันธ์กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ คือค่าพิกัดที่แน่นอน ข้อมูลใน GIS ทั้งข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลเชิงบรรยาย สามารถอ้างอิงถึงตำแหน่งที่มีอยู่จริงบนพื้นโลกได้โดยอาศัยระบบพิกัดทางภูมิศาสตร์ (Geocode) ซึ่งจะสามารถอ้างอิงได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ข้อมูลใน GIS ที่อ้างอิงกับพื้นผิวโลกโดยตรง หมายถึง ข้อมูลที่มีค่าพิกัดหรือมีตำแหน่งจริงบนพื้นโลกหรือในแผนที่ เช่น ตำแหน่งอาคาร ถนน ฯลฯ สำหรับข้อมูล GIS ที่จะอ้างอิงกับข้อมูลบนพื้นโลกได้โดยทางอ้อมได้แก่ ข้อมูลของบ้าน(รวมถึงบ้านเลขที่ ซอย เขต แขวง จังหวัด และรหัสไปรษณีย์) โดยจากข้อมูลที่อยู่ เราสามารถทราบได้ว่าบ้านหลังนี้มีตำแหน่งอยู่ ณ ที่ใดบนพื้นโลก เนื่องจากบ้านทุกหลังจะมีที่อยู่ไม่ซ้ำกัน